Burnout Syndrome ไม่ใช่โรคซึมเศร้า แต่เป็นภาวะหมดไฟในงาน ที่ทำให้คุณหมดใจ คล้ายๆ จะหมดแรง


ภาพประกอบ: Pichamon Wannasan

ใจความสำคัญ

ภาวะหมดไฟ (Burnout) ในการทำงาน สามารถแสดงออกผ่านทางอาการ เครียด หดหู่ ขาดแรงจูงใจในการทำงาน หงุดหงิด ก้าวร้าว ร่างกายอ่อนแรง ไม่มีสมาธิ ฯลฯ
ภาวะ Burnout เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำงานเป็นหลัก คนที่มีอาการ Burnout ไม่ได้หมายความว่าจะต้องป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเสมอไป

ปัจจุบัน ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) หรือในบางบทความใช้คำว่า ‘ภาวะเหนื่อยล้าจากการทำงาน’ ยังไม่ได้ถูกให้คำจำกัดความหรือระบุเกณฑ์การวินิจฉัยโรคอย่างชัดเจน และเนื่องด้วยบุคคลที่อยู่ในภาวะ Burnout มักมีอาการคล้ายคนเป็นโรคซึมเศร้า และมักมีความวิตกกังวลสูง จึงอาจทำให้เกิดความสับสนเข้าใจผิด

คนที่มีภาวะซึมเศร้าและภาวะ Burnout มักจะมีลักษณะที่คล้ายกันคือ รู้สึกหดหู่ เหนื่อย หมดแรง และประสิทธิภาพในการทำงานลดลง แต่คนที่มีภาวะซึมเศร้าจะมีอาการรุนแรงมากกว่า มีความผิดปกติทางด้านความคิดและอารมณ์ความรู้สึกที่จะเป็นไปในทิศทางลบ รู้สึกไม่ชอบตนเองและมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย ฉะนั้นคุณจึงไม่ควรตั้งข้อสรุปด้วยตัวเอง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยทำการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาอย่างถูกต้อง

เมื่อคุณพบว่าตนเองเข้าข่ายว่าอยู่ในภาวะ Burnout คุณต้องเพิ่มการพักผ่อนและปรับสมดุลการใช้ชีวิตในทันที ทั้งส่วนตัวและการทำงาน
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะ Burnout มาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
-ทำงานในสภาวะเคร่งเครียดและกดดันเป็นเวลานานจนเกินไป
-ต้องรับผิดชอบทำงานในส่วนที่ตนเองไม่ได้มีความรักและปรารถนาที่จะทำ (Passion) ขาดความถนัด หรืองานมีลักษณะน่าเบื่อ ขาดความท้าทาย
-ไม่ได้รับความใส่ใจ การยอมรับ หรือได้รับค่าตอบแทนน้อย ไม่เหมาะสมกับงานที่ทำ
-งานมีปริมาณมากแต่อัตราคนน้อย หรืออุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานขาดแคลน
-องค์กรขาดความมั่นคง ความชัดเจนในนโยบายการบริหาร หรือมีค่านิยมองค์กรที่ขัดแย้งกับค่านิยมในใจของบุคคล
-ระบบการทำงานขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถตัดสินใจหรือไม่มีอำนาจในการสั่งการ แต่มีความรับผิดชอบมาก
-ความไม่ยุติธรรมในองค์กร ความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือระหว่างลูกน้องกับเจ้านาย

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของบุคคล
-ทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ
-นอกเหนือจากการทำงานแล้ว ยังมีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบครอบครัวหรือสิ่งอื่นๆ โดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ เช่น ต้องดูแลพ่อแม่สูงอายุและลูกเพียงลำพัง
-อยู่ในสัมพันธภาพกับคู่สมรสหรือครอบครัวที่มีปัญหาความขัดแย้ง ไม่รู้สึกปลอดภัย

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนบุคคล
-เป็นคนที่ยึดติดความสมบูรณ์แบบ (Perfectionism) มีมาตรฐานในการทำงานสูงจนเกินไป
-ไม่ยืดหยุ่น ต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปในทิศทางของตน
-มีความคาดหวังที่มากเกินกว่าความเป็นจริง

ทั้งนี้ คุณสามารถสังเกตและประเมินภาวะ Burnout ในเบื้องต้นได้หากเกิดความผิดปกติใน 3 ลักษณะ

ทางกาย: เช่น นอนไม่หลับ รู้สึกเหนื่อย หมดแรง ร่างกายอ่อนเพลีย มีอาการปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ภูมิคุ้มกันโรคทางร่างกายลดลง ความสามารถในการจำและสมาธิในการทำงานลดลง

ทางอารมณ์: เช่น รู้สึกล้มเหลว เบื่อ สิ้นหวัง ขาดแรงจูงใจ และไม่มีความสุขในการทำงาน มีทัศนคติที่ไม่ดีต่องานที่ทำอยู่ มองสิ่งที่ทำอยู่ในแง่ร้ายตลอดเวลา โกรธและหงุดหงิดง่าย พูดดูถูกเหยียดหยามผู้อื่น มีความขัดแย้งกับคนในที่ทำงานมากขึ้น ไม่สนใจในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน

ทางพฤติกรรม: เช่น เริ่มพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานและคนในครอบครัวน้อยลง แยกตัวไม่สุงสิงกับผู้อื่น หมกมุ่นอยู่กับการทำงานแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่ทำงาน มาทำงานสาย กลับบ้านก่อนเวลา ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่กระตือรือร้น ทำงานเหมือนคนไม่มีชีวิตจิตใจ ขาดความคิดริเริ่มที่จะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง หรือในบางคนส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการใช้สิ่งเสพติด เช่น บุหรี่ เหล้า กัญชา ฯลฯ

และถ้าหากคุณพบว่าตนเองเข้าข่ายว่าอยู่ในภาวะ Burnout นั่นหมายความว่า คุณต้องเพิ่มการพักผ่อนและเริ่มปรับสมดุลการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงานในทันที

อาการ Burnout ที่ไม่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้ด้วยตัวเองดังนี้

-นอนพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งเสพติด หรือดื่มกาแฟมากจนเกินไป คุณควรลาพักผ่อนในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อปรับสมดุลของร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ

-จัดระเบียบการใช้ชีวิต จัดลำดับความสำคัญของงานและเวลาในการทำงาน เช่น โฟกัสกับงานแต่ละชิ้นตามลำดับความสำคัญ กำหนดเวลาที่คุณจะใช้ตอบอีเมลในแต่ละวัน ไม่นำงานกลับมาทำต่อที่บ้านหรือนอกเวลางาน

-ผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำกิจกรรมที่คุณชอบ และสร้างความผ่อนคลายนอกเวลาทำงาน เช่น ดูภาพยนตร์ ฟังเพลง ออกกำลังกาย เล่นโยคะ ท่องเที่ยว ฯลฯ การทำสมาธิและฝึกฝนเทคนิคการผ่อนคลาย ก็เป็นสิ่งที่คุณควรทำเป็นประจำ

-ลดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสาร และจำกัดเวลาการใช้โซเชียลมีเดีย อย่าเสียเวลาพักผ่อนทั้งวันกับการเล่นเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม

-พัฒนาทักษะการปรับตัว การสื่อสาร การแก้ปัญหา และเพิ่มความยืดหยุ่นในทำงานร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้ที่จะปฏิเสธและสร้างขอบเขตในการทำงาน หากคุณไม่เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ ยึดถือความสมบูรณ์แบบมากจนเกินไป ไม่เชื่อใจให้ผู้อื่นร่วมทำงานด้วย คุณจะกลายเป็นบุคคลที่มีความทุกข์ เคร่งเครียดแบกภาระงานที่มากเกินไป

ถ้าหากอาการของคุณมีความรุนแรง ไม่สามารถรักษาด้วยตนเองได้ คุณควรปรึกษาและรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

ข้อมูลจาก : https://thestandard.co/burnout-syndrom/?fbclid=IwAR08ogT2l2WdwVNR2HSNrZlioEGZqdC-cX693r8RTZN2TeF5Jk6nsfJ_eiA

 

 

10 งานมาแรง